วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"ป่าห่มศรัทธา วัดป่าภูก้อน" Unseen Thailand



ป่าห่มศรัทธา วัดป่าภูก้อน  อ.นายูง จ.อุดรธานี

อารามพิทักษ์ผืนป่า พลังศรัทธาแห่งสีเขียว


        
         วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี อารามพิทักษ์ผืนป่า พลังศรัทธาแห่งสีเขียว วัดป่าภูก้อน คือ 1 ใน 10 สถานที่ท่องเที่ยวในฝันที่คุณต้องออกไปสัมผัสสักครั้ง... วัดป่าภูก้อนที่เที่ยวในฝันตามโครงการ Dream Destination กาลครั้งหนึ่ง..ต้องไป



         วัดป่าภูก้อนตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่านายูงและป่าน้ำโสม อ.นายูง จ.อุดรธานี อันเป็นรอยต่อของ 3 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย และหนองคาย สร้างขึ้นเมื่อปี 2530 โดยคุณปิยวรรณและคุณโอฬาร วีรวรรณ ผู้มีความเลื่อมใสในปฏิปทาของพระป่า และได้ทำเรื่องขอใช้ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาตินายูง-น้ำโสม เพื่อสร้างวัดในเนื้อที่ 15 ไร่ จากกรมป่าไม้

      
         ศาสนสถานที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา และความสวยงามของสถาปัตยกรรมของวัดป่าภูก้อนแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขา ที่รายล้อมด้วยผืนป่าเขียวขจีกว่า 3,000 ไร่ ซึ่งจุดเริ่มต้นในการสร้างวัด คือ ความมุ่งหมายที่จะรักษาธรรมชาติของป่าอันสมบูรณ์ และแหล่งต้นน้ำลำธารอันอุดมสมบูรณ์เอาไว้จากการถูกบุกรุกทำลาย จนกลายเป็นทิวทัศน์ระดับ Unseen Thailand




         ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนีที่สร้างเนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ พระพุทธรูปปางไสยาสน์แนวนอนความยาวกว่า 20 เมตร ที่ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 6 ปี และเต็มไปด้วยตำนานเล่าขาน ตั้งแต่การได้มาของหินอ่อนขาวบริสุทธิ์จากประเทศอิตาลี  ซึ่งนำมาใช้เป็นส่วนของเศียรพระ รวมถึงงานแกะสลักอันวิจิตรตระการตาราวกับมีชีวิต จากนั้นแวะขึ้นไปกราบนมัสการ องค์พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์เจดีย์ที่ชั้นบนสุดเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ


       นอกจากนี้แล้วภายในวัดยังมี พระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์เจดีย์สีเหลืองทองที่ตั้งยอดเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขา ชวนให้ผู้มาเยือนขึ้นไปกราบสักการะ ซึ่งหากใครสนใจจะขึ้นไปด้านบนเจดีย์อาจต้องรวบรวมกำลังขาสักหน่อย เนื่องจากเจดีย์ตั้งอยู่บนยอดเขา จึงต้องเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ เมื่อขึ้นมาถึงด้านหน้าขององค์เจดีย์จะมีพระร่วงรุ่งโรจน์ศรีบูรพาให้ได้ไหว้ขอพร และด้านในเจดีย์ที่ชั้นบนยอดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้ได้กราบบูชา

    บริเวณวัดเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม ที่นอกจากจะเย็นใจในการได้เดินทางมาเยือนดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ยังเย็นตาไปกับงานก่อสร้างอันสวยงามอลังการ ร่วมสัมผัสความสุขในดินแดนพุทธศาสนาที่เต็มไปด้วย ต้นไม้ใหญ่น้อย จากหัวใจสีเขียว ที่เปลี่ยนป่าผืนสุดท้ายแห่งอีสานตอนบน ให้กลายเป็นวัดพิทักษ์ป่าอันเขียวขจี

การเดินทางท่องเที่ยววัดป่าภูก้อนโดยรถยนต์ จ.อุดรธานี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 564 กิโลเมตร สามารถเดินทางได้ทั้งทาง รถยนต์ส่วนตัว รถทัวร์ รถไฟ หรือ เครื่องบิน หากใช้รถโดยสารสาธารณะ เลือกทางที่จะไป อ.นายูง ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ 8 กิโลเมตร แล้วต่อรถรับจ้างเข้าวัดป่าภูก้อนอีกต่อหนึ่ง

















วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เที่ยวเกาะปาลาวัน, ฟิลิปปินส์



                เกาะปาลาวัน, ฟิลิปปินส์ สวรรค์ของคนรักทะเล


                   เกาะปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และยังถือว่าเกาะปาลาวันเป็นเพชรเม็ดงามแห่งเอเชียอีกด้วย


                  ฟิลิปปินส์...ประเทศที่ประกอบด้วยเกาะเล็ก-ใหญ่กว่าเจ็ดพันเกาะ แน่นอนว่าด้วยลักษณะภูมิประเทศที่ถูกโอบล้อมด้วยน้ำทะเลจึงทำให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีความสวยงามรอบด้าน โดยเฉพาะเกาะต่าง ๆ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกตลอดทั้งปี และวันนี้กระปุกดอทคอมขอพาเพื่อน ๆ ไปรู้จักกับอีกหนึ่งเกาะสำคัญของฟิลิปปินส์ นั่นก็คือ เกาะปาลาวัน (Palawan) ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในเกาะที่ดีที่สุดของโลก


                 เกาะปาลาวัน เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดปาลาวัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของฟิลิปปินส์ ชายฝั่งตอนเหนือของเกาะตั้งขนานกับทะเลจีนใต้ ขณะที่ชายฝั่งตอนใต้ติดกับทิศเหนือของทะเลซูลู ทำให้สีของน้ำทะเลรอบเกาะนั้นมีทั้งสีฟ้าผสมกับสีเขียวมรกต  น้ำใสมองเห็นสาหร่ายทะเล ปะการัง และโขดหินด้านล่าง  



 

เวลาที่ท้องฟ้าโปร่งด้วยแล้วเงาของปุยเมฆสีขาวบวกกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าที่สะท้อนลงมาในน้ำยังก่อให้เกิดภาพที่สวยงามและโรแมนติกมากทีเดียว หาดทรายขาวละเอียด อ่าวเงียบสงบ เป็นเกาะเขตร้อน ซึ่งมีอุทยานแห่งชาติ



  จุดท่องเที่ยวสำคัญ


แนวปะการัง El Nido Marine Reserve อันอุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีซากเรืออับปางบริเวณ Coron เป็นอีกหนึ่งจุดสนใจสำหรับนักดำน้ำ ด้านป่าในปาลาวันนั้น ก็งดงามด้วยน้ำตก พืชพรรณ สัตว์ป่าประจำถิ่น และทัศนียภาพที่สวยงามจากจุดปีนเขาชมวิวนับไม่ถ้วนรอบเกาะ


  
กิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยว ได้แก่
การดำน้ำตื้นและดำน้ำลึก และการล่องเรือชมความงามรอบเกาะ หรือจะเล่นน้ำชิลๆ ริมหาดก็ได้เช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นสวรรค์ของคนรักทะเล


  ด้านการเดินทางมายังเกาะปาลาวันนั้นสามารถเดินทางได้ทั้งทางอากาศ โดยใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งหากเดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงมะนิลา หรือใครที่อยากสัมผัสละอองน้ำบาง ๆ ระหว่างการเดินทางก็สามารถเดินทางมายังเกาะแห่งนี้โดยใช้เรือแทน แต่อาจจะกินเวลา


  ภูมิอากาศ


 ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นเช่นเดียวกับประเทศไทย  ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมทั้ง  2  ฤดูกาล  อุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง  24° - 29° C  เพราะได้รับอิทธิพลจากทะเลมาก ในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีฝนลดน้อยลงไม่มีฤดูแล้ง      เนื่องจากฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ใกล้แหล่งศูนย์กลางความกดอากาศต่ำ และด้านตะวันออกอยู่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก มักได้รับความกระทบกระเทือนจากพายุไต้ฝุ่น (Typhoons)  บ่อยครั้ง  โดยเฉพาะในช่วงระยะเดือนกรกฎคม กันยายน  และช่วงเปลี่ยนมรสุมแนวพายุนี้อยู่ละติจูด  11°  เหนือขึ้นไป  เช่นที่เกาะลูซอนด้านตะวันออก  พายุที่พัดกระหน่ำฟิลิปปินส์รุนแรงมากเพราระพัดผ่านมหาสมุทรปราศจากสิ่งกีดขวาง



 ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การท่องเที่ยว
 

 แม้ฝั่งตะวันตกของปาลาวันจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงนักจากพายุฝนในฤดูมรสุม ช่วงฤดูแล้งระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงมิถุนายน ก็ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยว ส่วนฝั่งตะวันออกของเกาะมีฝนตกชุกมากกว่า เดือนมีนาคมจึงเหมาะสมที่สุด







                                  ขอบคุณข้อมูลจาก http://travel.kapook.com/view105593.html และ                              http://www.thaigoodview.com/node/160745


วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทำความรู้จัก "หอเอน"


                                         

     "หอเอนเมืองปิซ่า"




ประวัติของหอเอนเมืองปิซ่า

           หอเอนเมืองปิซา  (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa; อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย ปัจจุบันนี้ หอเอนเมืองปิซ่า ลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าหอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200 หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้ เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี
หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับ       การปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา

        ความเอนของหอปิซ่า คือมนต์เสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยว คนรักศิลปะและนักวิชาการ ต้องไปสัมผัสความมหัศจรรย์นี้ และต่างมีคำถามว่าหอนี้ จะสามารถอยู่ได้ไปตลอดกาล หรือจะพังลงมาเมื่อไหร่และยังมีนักดาราศาสตร์ชื่อดังของโลกที่ชื่อ กาลิเลโอ เคยใช้หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa) นี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกมี่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นตามที่กาลิเลโอคาดไว้  ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก


         หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมาหลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa) ได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา

        มีความพยายามที่ทำให้หอเอนหยุดการเอียง เพราะว่ามันจะเอียงเพิ่ม 1นิ้ว ทุกๆ 20ปี เคยใช้การเจาะรูแล้วอัดปูน Mortar ใส่แต่ไม่สำเร็จ หลังจากนั้นก็ลองใช้ตะกั่วหลายร้อยตันถ่วงไปก็พอได้บ้าง แต่มาสำเร็จเมื่อปี 2001 โดยขุดดินด้านที่สูงกว่าออกทีละน้อย สุดท้ายสามารถกู้การเอียงได้ 16 นิ้วซึ่งคาดว่าจะปลอดภัยไปอีก300ปี

       
 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli และหอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย












               ( ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaigotravel.com/travel.php?t_id=15
           และ http://www.artbangkok.com/detail_page.php?sub_id=2764)



              

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

มารู้จักกับ " โพไซดอน (Poseidon Undersea Resort) " กันดีกว่า!!


โพไซดอน (Poseidon Undersea Resort)





โพไซดอน (Poseidon Undersea Resort) โรงแรมใต้ทะเล แห่งแรกของโลก ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐฟิจิ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ที่ความลึก 40 ฟุต จากผิวน้ำ ภายในประกอบด้วย ห้องสูท 24 ห้อง ตกแต่งหรูหรา เห็นวิวรอบด้านผ่านกระจกติดฟิล์มซึ่งภายนอกจะมองเข้ามาไม่เห็นแม้ยามกลางวันซึ่งมีแสงสาดส่องแต่ละห้องของ โรงแรมใต้ทะเลมีลักษณะคล้ายแคปซูล


ที่มา

  "บรูซ โจนส์" นักธุรกิจชาวอเมริกันมีอายุครบ 50 ปี ตั้งแต่ยังเด็กโจนมีความฝันอยากสร้างที่ผักแบบถาวรในทะเลหลายปีที่ผ่านมาโจนวิ่งระดมทุนจากสถาบันการเงิน นักลงทุนเอกชน 17 เจ้าและนำทรัพย์สินส่วนตัวเข้าไปค้ำประกันกู้เงินมาได้ประมาณ 4200 ล้านบาท สร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว โครงสร้างห้องพักในทะเลซึ่งยึดติดเรียงกันเป็นแถวยาวผ่านโครงสร้างหลักที่โจนเรียกว่ากระดูกสันหลัง ห้องพักในโรงแรมใต้ทะเลมีระบบปรับแรงดันอัตโนมัติและมีระบบเข้า-ออก "แอร์ล็อค"ป้องกันไม่ให้น้ำทะเลไหลทะลักเข้ามายามที่แขกเข้า-ออก เพื่อไปดำปะการังนั่นเอง ส่วนเซ็กชั่นร้านอาหาร-บาร์ใต้น้ำขนาด 3000 ตารางฟุตก็ออกแบบให้หมุนได้เพื่อเปลี่ยนทิวทัศน์
 ห้องพักแต่ละห้องจะถูกสร้างเป็นห้องสำเร็จรูปจากอู่บนฝังแบบเดียวกับการสร้างเรือดำนำ  หลังจากนั้นจะถูกนำมาติดตั้งเข้ากับทางเดินหลัก วัสดุที่นำมาสร้างทั้งหมดถูกทดสอบแล้วว่าสามารถคงสภาพการใช้งานใต้ท้องทะเลได้ยาวนานกว่า 20 ปี ในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น หากมีห้องพักห้องใดห้องหนึ่งเกิดการเสียหายขึ้น ก็สามารถถอดออกได้เป็นห้องๆ โดยมีประตูปิดป้องกันไว้ก่อนที่จะนำไปซ่อมแซมในอู่ซ่อมที่อยู่บนฝั่ง


ไฮไลท์ของห้องพักที่โพไซดอน (Poseidon Undersea Resort)  


   คือมุมมองส่วนตัวในแต่ละห้องที่มีแผ่นอะคิลิคใสบานโตความหนาถึง 4 นิ้ว สามารถเปิดจินตนาการใต้สมุทรแบบไร้ขีดจำกัด มันจะถูกยึดไว้ด้วยเฟรมเหล็ก โดยกระจกแต่ละแผ่นจะยาว 3.05 เมตร และกว้างประมาณ  1.75 เมตร  ส่วนผนังสร้างจากแผ่นเหล็กความหนา 1 นิ้ว



อัตราค่าห้องพัก

       ห้องสแตนดาร์ดใต้สมุทรขนาด 550 ตารางฟุต           (51 ตร.ม.) อยู่ที่ประมาณ 1,500 เหรียญ/คืน หรือหากต้องการใช้เวลาอย่างเต็มที่คงต้องจ่ายหนักหน่อยสำหรับแพคเกจแบบเต็มสัปดาห์อยู่ที่หัวละ 15,000 เหรียญ ที่มาพร้อมกับแพคเกจกิจกรรมใต้สมุทรอีกมากมาย อาทิ การนั่งเรือดำน้ำขนาด 16 ที่นั่งร่องลอยไปรอบๆ เกาะ หรือการดำน้ำลึก  กิจกรรมที่เน่าสนใจที่สุดสำหรับการพักในโรงแรมใต้ทะเลนั่นก็คือการให้อาหารสัตว์ใต้ทะเลลึกโดยมีแผงควบคุมไว้ให้กดปล่อยอาหารและนี่เป็นอีกหนึ่งความสุขของนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลโลกใต้น้ำที่จะได้เห็นเห็นฝูงปลาละลานตาว่ายมาอยู่ตรงหน้า

      โพไซดอน (Poseidon Undersea Resort) พร้อมจะเปิดประสบการณ์อันแปลกใหม่ให้กับผู้มาเยือนด้วยห้องพักส่วนตัวใต้สมุทร ที่ภายในประกอบด้วย เตียงแบบคิงไซด์ พร้อมด้วยมุมนั่งเล่นที่สามารถชมท้องสมุทรอย่างใกล้ชิด ภายในห้องมีไวไฟและไฮสปีดอินเตอร์เน็ต ทีวี ตู้เย็น ห้องน้ำและอ่างจากุซซี่แบบส่วนตัว ทั้งนี้ก็เพื่อให้สมศักดิ์ศรีรีสอร์ทใต้สมุทร ที่นี่ไม่ได้มีเฉพาะที่พักใต้สมุทรเท่านั้น ยังมีรีสอร์ทส่วนที่เป็นคอมเพล็กซ์ตั้งอยู่บนชายหาดรอบๆ ลากูนอีกด้วย และหากต้องการมาที่นี่ เพียงจับเครื่องบินมาที่สนามบินนานาชาติ Nadi ใน Fiji หรือจะมาด้วยเรือยอร์ชส่วนตัวก็ย่อมได้ ที่นี่เตรียมพร้อมรับเรือที่มีความยาวได้มากถึง 300 ฟุต





วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

" พระราชวังแวร์ซาย " พระราชวังที่สวยที่สุดในโลก




พระราชวังแวร์ซายส์   (ภาษาฝรั่งเศส: Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย

ประวัติ


เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น


เมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์
คนงาน
30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลักซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัยสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783 แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789 ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และ ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) เป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919 และใช้เป็นที่ลงนามในเมื่อเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำการก่อสร้างเอง ภายในห้องประกอบด้วยกระจกยักษ์ 17 บาน เปิดออกแล้วจะเห็นสวนแวร์ซายอันสวยงาม นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ



การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎร ชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย  "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332  ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแก่ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมความสวยงาม หากนับเวลาตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จ พระราชวังแห่งนี้ก็มีอายุยืนนานถึง 300 ปีเศษ ที่ยังคงความงามอยู่ได้โดยไม่เสื่อมคลาย 



" ในพระราชวังแวร์ซายมีห้องทั้งหมด 700 ห้อง  ภาพวาดทั้งหมด 6,123 ภาพ  และงานแกะสลักทั้งหมด 15,034  ชิ้น "




 เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก

พระราชวังแวร์ซายได้รับจด
ทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์ ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้


1. เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด


2.  เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม


3. มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์